[Economical Traveler] ជំរាបសួរ…សៀមរាប (២)
จุมเรียบซัว...เสียมเรียบ (2)
ตอนที่ 1:
วางแผนทริปแบคแพค
การเดินทาง ที่พัก ค่าใช้จ่ายที่เตรียมไป
-------------------------------------
เมืองเสียมเรียบ: จากหมู่บ้านเล็กๆ มาเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของกัมพูชา
ก่อนอื่นคงต้องขอเล่าเท้าความถึงเมืองเสียมเรียบ
เพื่อทำความรู้จักเมืองนี้สักหน่อยครับ
ชื่อของเมืองนี้
จะมีอยู่ 2 ชื่อคือ
- “เสียมราฐ” (ที่บางแหล่งแปลว่า “สยามชนะ”
หรืออีกส่วนหนึ่งแปลว่า “รัฐของสยาม”) ซึ่งเป็นชื่อที่ไทยใช้เรียก
- “เสียมเรียบ” แปลว่า “สยามแพ้ราบเรียบ” เป็นชื่อที่กัมพูชาและประเทศอื่นๆเรียก
มีสมมติฐานว่าชื่อ “เสียมเรียบ” อาจมีที่มาจากสมัยอยุธยาตอนกลาง ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
(สยาม) และพระบรมราชาที่ 2 (กัมพูชา) ที่สยามยกทัพบุกกัมพูชาแต่ก็พ่ายแพ้ โดยสมรภูมิอยู่ใกล้เคียงกับเมืองพระนคร
(นครวัด-นครธม) ในบล็อกนี้จะเรียกชื่อนี้ตามแบบสากล
สยามได้ผนวกดินแดนบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของโตนเลสาบ
(ทะเลสาบเขมร) เรียกว่า “เขมรส่วนใน” ได้แก่ บัตตัมบอง ศรีโสภณ เสียมเรียบ มาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ
ช่วงปี ค.ศ.1795-1907 (สมัยรัตนโกสินทร์)
เมื่ออองรี มูโอ (Henri
Mouhot) นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสได้สำรวจนครวัด
ในปี ค.ศ.1860 เสียมเรียบในช่วงนั้นยังเป็นหมู่บ้าน จากนั้น
“สำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ” (École française d'Extrême-Orient (EFEO)
สถาบันการศึกษาด้านประวัติศาสตร์
โบราณคดี สังคมในย่านเอเชียตะวันออกไปจนถึงเอเชียใต้) ก็ส่งคณะนักสำรวจเข้ามายังสยามเพื่อไปยังเมืองพระนคร
แผ้วถางป่าที่ปกคลุมและซ่อมแซมโบราณสถาน
รวมถึงเริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามายังเมืองพระนคร
ภาพของเสียมเรียบในช่วงปี ค.ศ.1910 จากโปสการ์ดของฝรั่งเศส
การเผยโฉมเมืองพระนครสู่โลกภายนอก จะเป็นตัวพลิกโชคชะตาของเสียมเรียบที่อยู่ทางใต้ของเมืองพระนครไม่กี่กิโลเมตร
เมื่อฝรั่งเศสได้ปกครองดินแดน “เขมรตอนใน” แล้วในปี ค.ศ.1907 เสียมเรียบได้ขยายตัวจากหมู่บ้านกลายเป็นชุมชนเมือง
โดยฝรั่งเศสเปิดโรงแรมระดับหรูหราแห่งแรกขึ้นที่เสียมเรียบในปี ค.ศ.1929 และกลุ่มโบราณสถานเมืองพระนครก็เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ยอดนิยมในเอเชีย
จนกระทั่งคริสตทศวรรษ 1960
หลังกัมพูชาได้รับเอกราชแล้ว
กลุ่มคอมมิวนิสต์เขมรแดงได้ปกครองกัมพูชาในปี ค.ศ.1975 ชาวเมืองเสียมเรียบก็โดนขับออกไปใช้ชีวิตกรรมชีพในชนบท
เช่นเดียวกับชาวกัมพูชาทั่วประเทศ เมืองเสียมเรียบจึงผ่านช่วงเวลาที่โหดร้ายไม่ต่างจากกรุงพนมเปญ
จนกระทั่งเขมรแดงหมดอำนาจลง และพอล พต ผู้นำเขมรแดงเสียชีวิตในปี ค.ศ.1998 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเสียมเรียบค่อยกลับมาพลิกฟื้นขึ้นมา
เมืองเสียมเรียบในปัจจุบัน
ทำหน้าที่เป็นประตูสู่ “เมืองพระนคร” (นครวัด-นครธม) ในด้านการท่องเที่ยว เต็มไปด้วยโรงแรม
ร้านอาหาร และสถานที่อื่นๆที่เกี่ยวข้อง อย่างพิพิธภัณฑ์ พื้นที่การแสดงรำอัปสรา
หมู่บ้านวัฒนธรรม ร้านขายของที่ระลึก ขณะที่อาคารสถาปัตย์แบบโคโลเนียลครั้งฝรั่งเศสปกครอง
ยังหลงเหลือมีอยู่ในบริเวณ “พซาจะ” (ตลาดเก่า) แต่เมื่อออกไปนอกเมืองเสียมเรียบจะมีแต่ทุ่งนาปลูกข้าว
หรือหมู่บ้านประมงในโตนเลสาบ
การท่องเที่ยวถือว่าเป็น
“เครื่องจักรใหญ่” คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมืองเสียมเรียบ โดยมีการประมาณในปี
ค.ศ.2010 ว่าตำแหน่งงานเกิน 50% ในเมืองเสียมเรียบ เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ขณะที่ในปี ค.ศ.2004 ประมาณครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในกัมพูชา
มีเป้าหมายที่เมืองเสียมเรียบ
วันแรกของทริป: ลุยเมืองเสียมเรียบ
10 ก.ค. 2014
เดินทางจากสนามบินดอนเมืองมายังเสียมเรียบด้วยสายการบินแอร์เอเชีย
อาคารผู้โดยสารสนามบินเสียมเรียบ
สนามบินแห่งนี้เป็นสนามบินที่มีผู้โดยสารมากที่สุดในกัมพูชา (ข้อมูลปี ค.ศ.2015
สนามบินเสียมเรียบ 3.30
ล้านคน สนามบินพนมเปญ 3.08 ล้านคน) โดยมีเที่ยวบินไปประเทศอื่นๆในแถบ ASEAN
และเอเชียตะวันออกเท่านั้น
ที่ ตม.สนามบิน
เห็นเจ้าหน้าที่ ตม.บูธข้างๆมีเรียกค่าทิป 1 USD ด้วย แต่ส่วนตัวไม่โดน แสดงว่าขึ้นกับ
ตม.แต่ละคน
ผ่าน ตม.เสร็จไปทางออก
คนขายซิมมือถือก็เรียกหากันดังสนั่น เลยใช้วิธี “จ้ำจี้มะเขือเปาะแปะ”
พยางค์สุดท้ายแล้วนิ้วชี้เจ้าไหนก็ซื้อซิมเจ้านั้น (แถมเขาหัวเราะอีก) ได้ซิมเครือ
Beeline ราคา 5
USD
ทางเกสเฮาส์ส่งรถตุ๊กตุ๊กมารับที่สนามบินฟรี
แต่รถตุ๊กตุ๊กที่เสียมเรียบจะเป็นรถจักรยานมนต์ต่อรถเลื่อน 2 ล้อ
นั่งได้ประมาณ 3-4 คน
ต่างจากรถตุ๊กตุ๊กของไทยที่เป็นรถเครื่อง 3 ล้อ
สภาพห้องพักแบบ 3
คน พร้อมแอร์
ของที่พักที่จองไว้ (Tropical Breeze Guesthouse)
เช็คอินเข้าที่พัก จัดการข้าวของเสร็จก็ออกมาหาข้าวเที่ยงแถวพซาจะ
ข้าวแกงกับข้าวอย่างเดียวราคา 60 บาท ตามแผนแล้ววันนี้จะเดินเที่ยวในตัวเมืองเสียมเรียบ
แล้วไปดูดวงอาทิตย์ตกที่ปราสาทพนมบาแคง
จากร้านหนังสือมือสอง และรถขายหนังสือแถวพซาจะ
ได้หนังสือนำเที่ยวภาษาอังกฤษมา 2 เล่ม ตกราคา 8-10 USD ด้วยราคาที่ถูกและสันกาวของหนังสือไม่ค่อยดี
เลยสงสัยว่าหากไม่เป็นหนังสือมือสองก็คงเป็นของก็อบ
จากแถวพซาจะ
เดินเลียบแม่น้ำเสียมเรียบ (ซึ่งกว้างประมาณคูเมืองเชียงใหม่)
ก็ถึงจุดหมายแรก
วัดพระพรหมรัตน์
(វត្តព្រះព្រហ្មរ័ត្ “วัดเปรียะฮ์ปรมรวด”) เป็นวัดที่อยู่ใจกลางเมืองเสียมเรียบ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1371
เพื่ออุทิศแก่พระสงฆ์ที่เป็นที่เคารพ
และครอบครัวเศรษฐี (ตาปูมและยายรัตน์) ในบริเวณเสียมเรียบสมัยนั้น
ใช้เป็นพื้นที่เผยแพร่ธรรมะให้แก่ชาวบ้าน สักการะบรรพบุรุษ
และที่พำนักของพระสงฆ์ในเสียมเรียบ
ต่อมา เมื่อกษัตริย์กัมพูชา
(พระบรมราชาที่ 2 หรือนักองจัน)
ได้เสด็จมาที่วัดนี้เพื่ออธิษฐานให้ได้รับชัยชนะเหนือข้าศึก (น่าจะหมายถึงสยาม)
เมื่อเป็นไปตามที่อธิษฐาน พระองค์จึงโปรดให้ชื่อวัดว่า “ตาปูมเยียรวด”
(ตาปูมยายรัตน์) จนกระทั่งเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “เปรียะฮ์ปรมรวด” (พระพรหมรัตน์)
ในช่วงคริสตทศวรรษ 1940
วัดนี้ยังมีตำนานหนึ่งที่เกี่ยวข้องอีก
แต่ตำนานนี้เป็นเรื่องของหลวงพ่อที่วัดนี้ถูกสร้างอุทิศให้
ในทุกๆวัน หลวงพ่อพายเรือข้ามโตนเลสาบ
(ทะเลสาบเขมร) จากเสียมเรียบไปเมืองลงแวก (“เมืองละแวก” ตามที่ไทยเรียก)
ในช่วงเช้าเพื่อออกบิณฑบาต ก่อนจะพายเรือกลับมาให้ทันมื้อเพลที่เสียมเรียบ
(แต่ในความเป็นจริงแล้ว เสียมเรียบกับลงแวกอยู่ห่างกันเกือบ 300 กิโลเมตร ต้องใช้เวลา 2
วันหากเดินทางด้วยเรือในสมัยนั้น)
แต่แล้วในวันหนึ่ง เรือของหลวงพ่อก็ถูกฉลามเข้าชนจนขาดเป็นสองท่อน
หลวงพ่อยึดท่อนหน้าของเรือจนไปถึงเสียมเรียบ ขณะที่ส่วนท้ายเรือลอยไปยังเมืองบริบูรณ์
ทางตอนใต้ของโตนเลสาบ
ส่วนหน้าของเรือลอยเหนือโตนเลสาบอย่างรวดเร็วจนน้ำไม่สามารถเข้ามาได้ ชาวบ้านคิดว่าเป็นเพราะพระพุทธเจ้าคุ้มครองหลวงพ่อไว้
จึงสร้างวัดแห่งนี้ไว้ตรงที่เรือมาถึงเสียมเรียบ
[แหล่งอ้างอิงของตำนานวัดพระพรหมรัตน์ เมืองเสียมเรียบ: http://www.siemreappost.com/preah-prohm-rath/ ]
แผนที่แสดงเมือง 3
เมืองในตำนานเรือพายของหลวงพ่อวัดพระพรหมรัตน์
ได้แก่ เสียมเรียบกับบริบูรณ์ที่อยู่คนละฟากของโตนเลสาบ และเมืองลงแวก (ละแวก)
ซึ่งบริบูรณ์กับละแวกนั้น ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดกำปงชนัง
อนุสรณ์รูปเรือพายในวัดแห่งนี้คงจะเกี่ยวข้องกับตำนานฉบับหลังนี้
อนุสรณ์ภายในวัดพระพรหมรัตน์
เป็นรูปเรือพายมีรูปพระสงฆ์ยืนอยู่ที่ส่วนหน้าของเรือ
แม้วัดนี้จะตั้งขึ้นมาหลายร้อยปี แต่อาคารทั้งหมดล้วนสร้างขึ้นในยุคปัจจุบัน
ไม่เหลือสิ่งก่อสร้างสมัยโบราณเหลือแล้ว
ระเบียงคดรอบวิหารหลัก
มีรูปเกี่ยวกับพุทธประวัติ แตกต่างจากตามวัดหลวงในไทย ที่มักประดิษฐานพระพุทธหลายองค์เรียงรายไปตามระเบียงคด
พระประธานในวิหารวัดพระพรหมรัตน์
เจดีย์ด้านขวาในรูปนี้
แม้ว่าจะเป็นเจดีย์ทรงย่อมุมคล้ายแบบไทย
แต่ก็นำศิลปะขอมมาดัดแปลงประยุกต์เข้าไป อย่างกรอบประตูเล็กๆประดับเจดีย์ดัดแปลงมาจากกรอบประตูตามปราสาทขอม
“พ.ศ.2550
- ค.ศ.2006” ที่แสดงบนกำแพงวัด
แสดงว่าพุทธศักราชของกัมพูชาและพม่า จะเริ่มนับในปีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน
แต่พุทธศักราชของไทยจะเริ่มรับหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 1
ปี ปี
พ.ศ.ของกัมพูชาจึงล้ำหน้ากว่าของไทยไป 1 ปี นอกจากนี้ กัมพูชาก็ใช้ตัวเลขแบบเดียวกับเลขไทยด้วย
จากวัดพระพรหมรัตน์ก็เดินเลียบแม่น้ำเสียมเรียบต่อ
ช่วงที่พวกผมไปเสียมเรียบ
เป็นช่วงที่มีรัฐพิธีแห่พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชาไปประดิษฐานที่เจดีย์เงินในพระราชวัง
จึงเห็นแผ่นป้ายเกี่ยวกับงานนี้กระจายอยู่ในเมือง
พระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
ยามเสด็จแปรพระราชฐานมายังเสียมเรียบ
ศาลองค์เจ็กองค์จอม
ซึ่งคล้ายศาลหลักเมือง ทำหน้าที่เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์เจ็ก-องค์จอม ซึ่งชาวเมืองถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง
ศาลแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1990
พระพุทธรูปคู่ภายในศาลองค์เจ็กองค์จอม
องค์ที่สูงกว่าคือองค์เจ็ก
โรงแรม Grand
Hotel d’Angkor โรงแรมหรูหราแห่งแรกในเมืองเสียมเรียบ
ซึ่งฝรั่งเศลสร้างโรงแรมขนาดใหญ่ตามมาตรฐานในสมัยนั้นขึ้นในอินโดจีนฝรั่งเศส 5
แห่ง
โดยโรงแรมนี้ถูกสร้างในเมืองเสียมเรียบเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมนครวัด-นครธม
ที่เริ่มเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากขึ้น และเปิดให้บริการในปี ค.ศ.1932
พระตำหนักกษัตริย์กัมพูชา-ศาลองค์เจ็กองค์จอม-โรงแรม Grand Hotel
d’Angkor กระจุกตัวอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน
-------------------------------------
[ซีรีส์ “จุมเรียบซัว...เสียมเรียบ” ยังมีตอนต่อไปครับ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น