[Economical Traveler] ជំរាបសួរ…សៀមរាប (៦)
จุมเรียบซัว...เสียมเรียบ (6)
-------------------------------------
สำหรับช่วงสุดท้ายของวันที่
2 ของทริป
ยังเหลือกลุ่มโบราณสถานโรลัวะ ซึ่งมักบริเวณนี้ก็เคยเป็นราชธานีในอาณาจักรขอมในนาม
“หริหราลัย” เช่นเดียวกับเกาะแกร์ (โฉกครรคยาร์) และนครวัด-นครธม (ยโศธรปุระ)
เพียงแต่หริหราลัยแห่งนี้เก่าแก่กว่าอีกสองเมือง ลองมาทำความรู้จักเมืองเก่าแห่งนี้สักหน่อยครับ
หริหราลัย: หนึ่งในอดีตราชธานีแห่งอาณาจักรขอม
หริหราลัย (Hariharalaya,
ហរិហរាល័យ) เป็นเมืองโบราณและเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของอาณาจักรขอม ตั้งอยู่บนบริเวณ
“โรลัวะ” (Rolous, ឃុំរលួស) ทางตะวันออกของเมืองเสียมเรียบ ซึ่งซากโบราณสถานในเมืองหริหราลัยเท่าที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
จะเป็นพวกวัดฮินดูขนาดใหญ่ ได้แก่ ปราสาทพระโค, ปราสาทบากอง และปราสาทโลเลย
แผนที่บริเวณโรลัวะ ที่มีทางหลวงหมายเลข
6 ตัดผ่านจากเมืองเสียมเรียบ
แผนที่นี้แสดงปราสาทหลัก 3 แห่ง บารายอินทรฏฏะกะ (Indratataka
Baray/Baray of Lolei) และปราสาทขอมขนาดเล็กแห่งอื่นๆอีก
|
ชื่อเมือง “หริหราลัย”
นั้น มาจากชื่อของ “พระหริหระ” (Harihara) เทพในศาสนาฮินดูที่เป็นที่นับถือบูชากันมากในกัมพูชายุคก่อนอาณาจักรขอม
ชื่อดังกล่าวเป็นคำประสมจากคำ “หริ” อวตารปางหนึ่งของพระวิษณุ และ “หระ”
อวตารปางหนึ่งของพระศิวะ ซึ่งตามความเชื่อของชามกัมพูชาในสมัยโบราณนั้น
พระหริหระเป็นเทพบุรุษที่ข้างหนึ่งมีลักษณะของพระวิษณุ
ส่วนอีกข้างมีลักษณะของพระศิวะ
รูปวาดแสดงพระหริหระพร้อมโคนนทิ
(ฝั่งพระศิวะ) และพญาครุฑ (ฝั่งพระวิษณุ)
|
ในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 8 เข้าต้นคริสตศตวรรษที่
9 พระเจ้าชัยวรมันที่
2 กษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรขอม
ได้ปราบผู้มีอำนาจท้องถิ่นในแถบโตนเลสาบ
(ทะเลาบเขมร) การก่อตั้งเมืองหริหราลัยขึ้นก็อยู่ในช่วงนั้น ร่วมสมัยกับ
“มเหนทรบรรพต” (Mahendraparvata, មហេន្ទ្របវ៌ត) เมืองโบราณอีกแห่งที่เชิงเขาพนมกุเลน
ซึ่งเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อท้องถิ่นในสมัยนั้น แต่พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงขึ้นครองราชย์ที่มเหนทรบรรพตในปี
ค.ศ.802 ก่อนจะย้ายเมืองหลวงมายังหริหราลัย
และสวรรคตลงในเมืองนี้เมื่อปี ค.ศ.835
แผนที่บริเวณเมืองเสียมเรียบ
ที่นักวิจัยได้ใช้ระบบ LIDAR ซึ่งเป็นระบบประเมินความสูงต่ำของพื้นผิวหรือภูมิประเทศโดยอาศัยการสะท้อนแสงเลเซอร์ที่ยิงลงไป
โดยในงานวิจัยชิ้นนี้ได้นำเครื่องยิงและรับสัญญาณเลเซอร์ติดไปกับเฮลิคอปเตอร์
แล้วเครื่องนี้จะส่องกราดขณะบินอยู่เหนือพื้นที่ศึกษา ได้แก่ พื้นที่สีเหลือง เช่น
บริเวณนครวัด-นครธม (Angkor) กับโรลัวะ (Rolous) ในปี ค.ศ.2012 และพื้นที่สีแดง ในปี ค.ศ.2015
จากการสำรวจพบลักษณะการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ที่ดูมีลักษณะเป็นโครงข่ายคล้ายแผนที่ชุมชนเมือง
บริเวณภูเขาพนมกุเลน (พื้นที่ที่พาดด้วยเส้นเฉียงสีขาวในแผนที่) ทำให้นักวิชาการต่างคาดการณ์ว่าอาจเป็นเมืองมเหนทรบรรพต
[Credit: Damian Evans, 2016 http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0305440316300644
]
|
พอล่วงเข้ารัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่
1 ทรงรับสั่งให้สร้างปราสาทพระโค
(ปี ค.ศ.879) ปราสาทบากอง (ปี ค.ศ.881) และบารายอินทรฏฏะกะ
(บารายคือสระน้ำที่ขุดขึ้น อาจมีจุดประสงค์ในเชิงศาสนาหรือการชลประทาน)
ในรัชกาลต่อมา
พระเจ้ายโศวรมันที่ 1 (ครองราชย์ ค.ศ.889-910) ทรงให้สร้างปราสาทโลเลยบนเกาะที่ถมไว้กลางบารายอินทรฏฏะกะ
และสร้างเมืองยโศธรปุระ บริเวณนครวัด-นครธมในปัจจุบัน มีศูนย์กลางเป็นภูเขาพนมบาแคงในฐานะภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งใหม่
แล้วย้ายราชธานีจากหริหราลัยไปยังยโสธรปุระ
สำหรับการเยี่ยมชมกลุ่มโบราณสถานโรลัวะของพวกผมนั้น
เดินทางจากปราสาทบึงมาลาถึงโรลัวะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และเริ่มจากปราสาทโลเลย ปราสาทบากอง
และปิดท้ายที่ปราสาทพระโค นอกจากนี้ ที่ปราสาทเหล่านี้จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว Angkor
Pass ด้วย
ปราสาทโลเลย: อดีตปราสาทบนเกาะกลางน้ำแห่งเมืองหริหราลัย
ปราสาทโลเลย (Lolei, ប្រាសាទលលៃ “ปราสาทโลลึย”) เป็นวัดฮินดูที่สร้างบนเกาะกลางบารายอินทรฏฏะกะ
ซึ่งตื้นเขินไปหมดแล้วในปัจจุบัน นับเป็นปราสาทองค์สุดท้ายที่สร้างในเมืองหริหราลัยก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปยังยโศธรปุระ
และปราสาทขอมองค์แรกที่สร้างบนเกาะกลางน้ำ
เพื่อสื่อถึงการที่เขาพระสุเมรุอยู่กลางมหาสมุทร
ตามความเชื่อเกี่ยวกับสัณฐานของโลกและจักรวาลในศาสนาฮินดู
ในจารึกกล่าวว่าปราสาทแห่งนี้ได้รับการอภิเศกในปี
ค.ศ.893 ในรัชกาลพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 เพื่ออุทิศให้กับบรรพชนในราชวงศ์ที่ล่วงลับไปแล้ว
โดยปราสาทประกอบด้วยปรางค์ที่แบ่งเป็น 2 แถว (ปรางค์อุทิศแก่บรรพชนฝ่ายชายและหญิง)
เช่นเดียวกับปราสาทพระโค ส่วนชื่อ “โลเลย” ของปราสาทแห่งนี้อาจมาจากการเพี้ยนเสียงของชื่อเมืองหริหราลัย
ซากปรางค์ที่พังลงมาแล้ว
แต่ยังมีรูปประดับรูปทวารบาลหลงเหลืออยู่
|
รูปประดับรูปทวารบาลสตรีในซุ้มเรือนแก้ว
ซึ่งมีรูปร่างค่อนข้างอวบหากเทียบกับมาตรฐานปัจจุบัน
|
ประตูหลอกที่สลักลวดลายบนบานประตูเลียนแบบการสลักลงบนไม้
|
หากสังเกตที่กรอบประตูของปรางค์
จะพบว่ามีจารึกอยู่ด้วย
|
ทับหลังที่สลักลวดลายไว้อย่างประณีต |
รางน้ำที่ใช้ประกอบศาสนพิธีในสมัยโบราณ
|
ภายในพระอุโบสถวัดที่ปราสาทโลเลย |
ปราสาทบากอง: พีระมิด “ศาสนบรรพต” แห่งแรกของขอม
ปราสาทบากอง (Bakong, ប្រាសាទបាគង “ปราสาทบากง”) เป็นวัดฮินดูในรูปแบบ “ศาสนบรรพต” (Temple
mountain) และปราสาทที่สร้างด้วยหินทรายแห่งแรกในอาณาจักรขอม
ปราสาทแห่งนี้อาจเริ่มสร้างด้วยศิลาแลงในรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 3
ก่อนจะสร้างต่อด้วยหินทราย
แล้วอุทิศถวายแก่พระศิวะ สถาปนาเป็นวัดหลวงแห่งเมืองหริหราลัย ประจำรัชกาลพระเจ้าอินทรวรมันที่
1 (ช่วงท้ายคริสตศตวรรษที่ 9) โดยมีจารึกกล่าวถึงการอภิเษกองค์ศิวลึงค์ประจำปราสาทแห่งนี้ว่าอยู่ในปี
ค.ศ.881
โครงสร้างของปราสาทบากอง
เป็นพีระมิดที่มีลักษณะเป็นชั้นๆ มักจะเรียกว่าเป็นรูปแบบ “ศาสนบรรพต”
ในสถาปัตยกรรมศาสนสถานขอม ซึ่งชั้นพีระมิด 5 ชั้นร่วมกับรายละเอียดอื่นๆของปราสาทบากองสื่อถึง
“เขาพระสุเมรุ” ศูนย์กลางจักรวาลตามความเชื่อของศาสนาฮินดู
นอกจากนี้
นักวิชาการบางส่วนมองว่าลักษณะศาสนบรรพตของปราสาทบากอง รวมไปถึงรายละเอียดทางสถาปัตย์คล้ายกับบุโรพุทโธในเกาะชวา
อินโดนีเซีย จึงมีแนวคิดคาดการณ์ว่าบุโรพุทโธอาจเป็นต้นแบบของปราสาทบากอง
อันเป็นผลต่อเนื่องจากการติดต่อแลกเปลี่ยนกันระหว่างอาณาจักรขอมกับราชวงศ์ไศเลนทร์แห่งชวา
แผนที่ปราสาทประธานของปราสาทบากองที่มีลักษณะศาสนบรรพต
|
ตอนที่มาถึงปราสาทบากอง
ฝนตกก็เริ่มตกหนักพอดี เลยหนีไปหลบฝนในศาลาแถวๆนั้น
|
พอฝนซาก็ได้จังหวะเข้าปราสาทบากอง
|
ฝนกลับมาตกหนักอีกรอบ
เลยวิ่งมาหลบฝนใต้ชายคาพระอุโบสถวัดพุทธที่อยู่แถวๆนั้น แล้วถ่ายตัวปราสาทประธานไปก่อน
|
เดินไปยังปราสาทประธาน |
มองไปทางตะวันออกของตัวปราสาท
วัดพุทธที่สร้างภายหลังจะอยู่นอกกำแพงแก้วของปราสาท
|
ย่อมุมตรงมุมปรางค์บนยอดปราสาทประธานแกะสลักเป็นรูปทวารบาลสตรี |
ทางเดินขึ้นปราสาทก็ยังแกะสลักลวดลายไว้
|
หนึ่งในปรางค์รายที่อยู่โดยรอบปราสาทประธาน
|
ปราสาทพระโค: ปราสาทแรกเริ่มแห่งเมืองหริหราลัย
ปราสาทพระโค (Preah
Ko, ប្រាសាទព្រះគោ “ปราสาทเปรียะฮ์โก”) เป็นวัดฮินดูแห่งแรกๆในเมืองหริหราลัย
สร้างแล้วเสร็จราวปี ค.ศ.880 เพื่ออุทิศถวายแก่พระบรมวงศานุวงศ์ที่ล่วงลับไปแล้ว
ช่วงรัชกาลพระเจ้าอินทรวรมันที่
1 ชื่อ “พระโค”
ของปราสาทแห่งนี้มาจากรูปสลักหินทรายรูปโคนนทิ โคเผือกพาหนะประจำพระองค์ของพระศิวะ
ที่ตั้งอยู่ข้างพระปรางค์
ตัวอาคารหลักของปราสาทประกอบด้วยปรางค์สร้างจากอิฐดินเผาพร้อมลวดลายประดับ 6
องค์ วางตัวเป็น 2
แถว แถวละ 3
องค์ อยู่บนฐานหินทรายฐานเดียวกันและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
ซึ่งปรางค์แถวหน้า 3
องค์สร้างอุทิศแก่บรรพชนฝ่ายชาย
(ปรางค์องค์กลางแถวหน้าสร้างอุทิศเก่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 2
ผู้ก่อตั้งอาณาจักรขอม)
และปรางค์แถวหลังสร้างอุทิศแก่บรรพชนฝ่ายหญิง ขณะที่รอบตัวปราสาทมีคูน้ำขนาดใหญ่ล้อมไว้
นอกจากนี้ นักวิชาการบางส่วนสันนิษฐานว่าพระราชวังโบราณแห่งหริหราลัยอาจตั้งอยู่บริเวณปราสาทพระโค
แต่ก็ยังไม่พบหลักฐานแต่อย่างใด
ปราสาทพระโคท่ามกลางสายฝนพรำ
ต้นไม้เขียวขจีช่วงฤดูฝนทำให้ปราสาทสวยไปอีกแบบ
|
รูปสลักโคนนทิตรงหน้าปราสาทประธาน
ซึ่งเป็นที่มาของชื่อปราสาทแห่งนี้
|
รูปสลักรูปสิงห์ตรงปราสาทประธาน
|
ทับหลังหินทรายสลักรูปหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัย
|
ที่กรอบประตูของปรางค์มีจารึกอยู่ เช่นเดียวกับปราสาทโลเลย |
รูปสลักรูปทวารบาลตรงมุมปรางค์
|
รูปสลักรูปทวารบาลสตรี
|
ปรางค์
3 องค์แถวหลังของปราสาทประธาน
|
ลวดลายเหนือรูปสลักรูปทวารบาลบนผนังปรางค์ |
หลังจากเยี่ยมชมปราสาทพระโคเสร็จ
ก็นั่งรถแท้กซีมุ่งหน้ากลับเมืองเสียมเรียบ และจ่ายค่าเหมาแท็กซีทั้งวัน 75
USD (ไปกัน 3
คน ตกคนละ 25
USD) ส่วนอาหารเย็นก็หาทานตรงที่พัก
ราคา 2 USD (ราคานี้มักเป็นพวกขนมปังฝรั่งเศสหรือข้าวแกงที่ตลาดในตัวเมือง)
-------------------------------------------------
บทความตอนที่แล้วในชุดบทความ “จุมเรียบซัว...เสียมเรียบ”
ตอนที่ 1:
วางแผนทริปแบคแพค
การเดินทาง ที่พัก ค่าใช้จ่ายที่เตรียมไป
ตอนที่ 2:
แนะนำเมืองเสียมเรียบ
วัดพระพรหมรัตน์ พระตำหนักหลวง และศาลองค์เจ็กองค์จอม
ตอนที่ 3:
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกอร์,
ตั๋ว Angkor Pass, ปราสาทพนมบาแคง และการแสดงพื้นบ้านกัมพูชา
ตอนที่ 4:
เกาะแกร์-โฉกครรคยาร์
อดีตเมืองหลวงสั้นๆแห่งอาณาจักรขอม
ตอนที่ 5:
บึงมาลา:
ซากปราสาทขอมแบบดิบๆท่ามกลางป่าใหญ่